บทที่ 11 แค่บังเอิญหรือโชคชะตา (100%)

“บี๋เข้ามาคุยงานกับบก. ค่าพี่นีรา”

บูรณิมาเอ่ยตอบด้วยท่าทางเป็นกันเอง นั่นก็เพราะในระยะหลังๆ เธอได้มีโอกาสถ่ายงานร่วมกับอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง พบหน้ากันบ่อยขึ้น และนีราก็ชอบหยอกเล่นแบบถึงเนื้อถึงตัว อย่างเช่นกอดและหอม ไม่ก็ตีหรือขยำก้นด้วยความมันเขี้ยว อีกทั้งนีราก็ไม่เคยถือเนื้อถือตัว เลยเกิดความสนิทสนมขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แต่บูรณิมาเพิ่งเจอสามีของอีกฝ่ายเป็นหนที่สอง หากเลือกได้เธอไม่ขอเจอคนหน้าดุเย็นชานั่นไปตลอดชีวิตยังจะดีเสียกว่า

“หมายถึงมะเดี่ยวเหรอ”

ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะรู้ เพราะนีรากับสามีของหล่อนกำลังนั่งอยู่แถวๆ โซฟารับแขกตรงโถงไม่ไกลจากหน้าห้องทำงานของคนที่ถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา

“ใช่ค่า”

“งั้นบู้บี้คงต้องนั่งรอแล้วล่ะ เพราะพี่ก็มาพบมะเดี่ยวเหมือนกัน แต่เขายังไม่ว่างเลย” นางแบบสาวคนดังเอ่ยอย่างยิ้มๆ พลางดึงเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ๆ มาให้บูรณิมา

“นั่งด้วยกันสิ”

“เอ่อ…บี๋ว่า บี๋ไปนั่งตรงโน้นดีกว่าค่ะ”

ว่าพลางชี้มือไปยังโซฟาที่อยู่ไกลออกไป ก็ใครจะอยากนั่งร่วมโต๊ะกับคนที่จ้องเหมือนจับผิดอย่างสามีของอีกฝ่ายกันล่ะ อยากจะถามอีตาลุงนั่นนักว่าเป็นอะไรกับเธอมากปะ ถึงเอาแต่จ้องเอาๆ

“นั่งเถอะ”

นีราคะยั้นคะยอ พร้อมกับดึงมือเธอให้นั่งลง เล่นเอาบูรณิมาแทบจะยกมือไหว้ แล้วอ้อนวอนว่าพี่ขาปล่อยหนูไปเถอะ แต่ก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น เพราะเมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของอีกฝ่ายเธอก็ไม่กล้าหักหาญน้ำใจออกไปตรงๆ

“เอ่อ จะดีเหรอคะ”

เธอเอ่ยอย่างเกรงใจ ขณะปรายตามองสามีของอีกฝ่ายอย่างเกร็งๆ

“ดีสิ คุณคิงส์เขาไม่ว่าอะไรหรอก”

ไม่ว่า แต่แผ่รังสีอำมหิตใส่เธอเนี่ยนะ บรึ๋ยยยยย

“…”

“ใช่ไหมคะ คุณคิงส์”

โอ๊ย! อย่าไปถามเขาเลยค่า หนูกลัววงแตก

“อืม…”

คนประหยัดคำพูดเอ่ยห้วนๆ โดยไม่แยแสที่จะมองหน้าเธอสักนิด ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขากำลังรำคาญ มองว่าไร้สาระ ถึงได้ตอบคำถามเมียไปส่งๆ แบบนั้น

“นะ…นั่งด้วยกันนี่ล่ะ จะได้มีเพื่อนคุย”

นีรายังไม่วายรบเร้า

“งั้นก็ได้ค่ะ”

ที่สุดสาวน้อยก็ใจอ่อน เอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วจำใจทรุดกายลงนั่งข้างนีรา ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับสามีของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เพราะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตานิ่งเรียบของเขา ทว่าครั้นจะให้ปฏิเสธความหวังดีของคนที่อุตส่าห์ดึงเก้าอี้มาให้เธอก็ทำไม่ลง

เอาเถอะ นั่งอีกสักพักนีรากับสามีก็คงเข้าไปพบบก. แล้วมั้ง ก็พวกเขามาก่อนเธอนี่นา

“พี่นีรา รู้จักกับ บก.มะเดี่ยว ด้วยเหรอคะ”

เพราะทนความอึดอัดแปลกๆ ไม่ไหวบูรณิมาจึงหาเรื่องชวนคุย

“ช่าย เพื่อนซี้เลยล่ะ”

“เหรอคะ!”

สาวน้อยเผลอหลุดอุทานตาโตด้วยความลืมตัว ชั่วเสี้ยวนาทีเหมือนจะได้ยินเสียงฮึในลำคอของใครบางคน แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง เธอคงแค่หูฝาด เพราะปรายตามองก็ไม่เห็นว่าตาลุงนั่นจะสนใจฟังเธอกับนีราเสียหน่อย

“อย่าบอกนะ ว่าเราชอบมะเดี่ยว”

“เอ่อ…ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ บี๋แค่ปลื้มพี่เขา เพราะแต่ก่อนพี่เขาเป็นนักเขียน และบี๋ก็คลั่งไคล้งานเขียนของพี่เขามาก” บูรณิมาเอ่ยถึงนักเขียนในดวงใจของตัวเองด้วยท่าทีขวยเขินชวนเอ็นดู

“อ๋อ เป็นงี้นี่เอง ดีแล้วแหละ ที่ไม่ชอบ เพราะนางก็ไม่ชอบชะนีอย่างเราเหมือนกัน”

วาจาในตอนท้ายทำให้คนฟังหลุดหัวเราะคิก

เธอคุยสัพเพเหระกับนีราไปเรื่อย ผ่านไปราวสิบห้านาทีอีกฝ่ายก็ถูกเรียกเข้าพบมะเดี่ยว แต่แค่นีราคนเดียวนะ ส่วนอีตาลุงหน้ายักษ์ตาดุยังนั่งอยู่ที่เดิม

“จะไปไหน?”

เสียงห้าวห้วนทำให้คนที่กำลังจะย้ายไปนั่งที่อื่นพลันชะงัก มองใบหน้าหล่อเหลาทว่าไร้อารมณ์ไม่เต็มตา ก่อนจะอุบอิบออกมา “เอ่อ…จะไปนั่งที่อื่นค่ะ”

“นั่งตรงนี้แหละ”

“…”

“นั่งลง”

ปากจิ้มลิ้มเม้มแน่น หันหน้าหนีไปทางอื่น เผยถึงความดื้อดึงที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีใสๆ ไร้เดียงสา ทำเอาคนมองนึกอยากกำราบปราพยศโดยไม่รู้ตัว

“บอกให้นั่งลง”

คนช่างสั่งเริ่มกดเสียงต่ำ

“แต่ว่า…”

“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดว่าง่ายฟังคำผู้ใหญ่บ้าง”

ชิ! คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก ตาแก่ช่างสั่งเอ๊ย!

คนถูกหาว่าเด็กทำหน้าง้ำ ปากคว่ำ แต่สุดท้ายก็จำต้องลดก้นลงนั่งที่เดิม ด้วยทนสายตาออกคำสั่งแกมกดดันของอีกฝ่ายไม่ไหว จริงๆ เธอไม่อยากยุ่งเกี่ยว หรือเข้าใกล้เขาเลยสักนิด เพราะแค่เห็นหน้าของอีกฝ่ายก็รู้สึกแสลงใจ และทำตัวแทบไม่ถูก เนื่องจากเขาทำให้เธอพลอยนึกถึงความฝันที่ทั้งพิลึกพิลั่นและน่ากระดากนั่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

บูรณิมาทำเมินเพื่อนร่วมโต๊ะหน้าตาย แล้วหันไปสนใจขนมที่วางกองอยู่ตรงหน้า ไม่นานความน่ากินและกลิ่นหอมยั่วๆ ของเบเกอรี่ที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ก็ทำให้ลืมตัวนึกว่านั่งอยู่คนเดียว

“หูยยยย…บลูเบอร์รีครัมเบิ้ลมัฟฟินก็น่ากิน ไดฟูกุสตรอว์เบอร์รีก็น่าอร่อย”

เสียงใสเอ่ยพลางจับกล่องขนมยกขึ้น ก่อนจะหันไปมองกล่องที่เหลือ

“ผักโขมอบชีสก็น่าหม่ำๆ โอยยยย…คุกกี้นมข้นหวานก็หอมยั่วน้ำลาย แล้วไหนจะยังชูครีมอีกล่ะ”

พูดไม่พอยังยกกล่องขนมขึ้นจรดจมูกด้วยท่าทางคลั่งไคล้อีกต่างหาก ก่อนที่จะเผลอปรายตาไปทางคนที่นั่งร่วมโต๊ะ แล้วพลันชะงัก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังกอดอกมองเธอนิ่งๆ ทำเอาคนที่ถูกแอบมองด้วยนัยน์ตาไหวระริกหน้าร้อนวาบ เม้มปากน้อยๆ ทำแก้มพอง ก่อนจะเก็บขนมกลับลงไปในถุง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป